บทที่ 1
ความเป็นมาและความสำคัญของธุรกิจโรงแรม
โรงแรม หมายถึง สถานที่ประกอบการเชิงการค้าที่นักธุรกิจตั้งขึ้น เพื่อบริการผู้เดินทางในเรื่องของที่พักอาศัย อาหาร และบริการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการพักอาศัยและเดินทาง หรืออาคารที่มีห้องนอนหลายห้อง ติดต่อเรียงรายกันในอาคารหนึ่งหลังหรือหลายหลัง ซึ่งมีบริการต่าง ๆ เพื่อความสะดวกของผู้ที่มาพัก ซึ่งเรียกว่า "แขก" (guest)
คำว่า hotel หรือ โรงแรมมีที่มาจากภาษาฝรั่งเศสซึ่งแปลว่า คฤหาสน์ โรงแรมแห่งแรกในยุโรปคือ Hotel de Hanri IV (โฮเทล เดอ อองรี กัต) เมื่อปี ค.ศ. 1788 โดยในสมัยก่อนใช้คำว่า hôtel และภายหลังได้เปลี่ยนตัวโอมาเป็นโอปกติในภาษาอังกฤษเป็น hotel เหมือนปัจจุบัน
ความเป็นมาของธุรกิจที่พักในประเทศไทย
ในครั้งกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี กรุงศรีอยุธยาจนถึงสมัยกรุงธนบุรี ประวัติศาสตร์ก็ได้บันทึกไว้ว่า ประชาชนชาวสยามได้มีการติดต่อการค้าพาณิชย์กับชาวยุโรปและจีน ตลอดจนทางการทูต, การเมือง, การทหาร และอื่น ๆ มาก่อน ซึ่งการเดินทางการค้าขายต่าง ๆ เหล่านี้ได้มีการเดินทางจากที่หนึ่งไปสู่ที่อื่น ๆ อยู่มาก การเดินทางต่าง ๆ เหล่านี้ หากเป็นพ่อค้าพาณิชย์ธรรมดา การเดินทางก็จะอาศัยที่พักกลางทางหรือวัดวาอารามต่าง ๆ และหากเป็นนักการทูตหรือพระเจ้าแผ่นดินแล้ว ส่วนใหญ่จะพักอาศัยอยู่ตามจวนเจ้าเมือง หรือบ้านเศรษฐีคหบดี หรือบ้านญาติต่าง ๆ ที่คุ้นเคยกัน และการเดินทางติดต่อการค้าต่าง ๆ เหล่านี้ ได้มีการบันทึกไว้มากมาย
สมัยกรุงศรีอยุธยา
จากจดหมายเหตุลาลูแบร์ ราชทูตฝรั่งเศส ได้เข้ามากรุงศรีอยุธยาราว พ.ศ. 2229 (ค.ศ. 1687) ได้เขียนเรื่องราวเกี่ยวกับประเทศไทยและได้กล่าวถึงการรับรองแขกเมืองในหนังสือจดหมายเหตุลาลูแบร์ เรื่องราวที่เกี่ยวกับอาณาจักรสยาม ที่มีบ้านพักสำหรับราชทูตสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเรียบเรียงเรื่องการรับทูตต่างประเทศสมัยกรุงศรีอยุธยา
สมัยกรุงศรีอยุธยา
จากจดหมายเหตุลาลูแบร์ ราชทูตฝรั่งเศส ได้เข้ามากรุงศรีอยุธยาราว พ.ศ. 2229 (ค.ศ. 1687) ได้เขียนเรื่องราวเกี่ยวกับประเทศไทยและได้กล่าวถึงการรับรองแขกเมืองในหนังสือจดหมายเหตุลาลูแบร์ เรื่องราวที่เกี่ยวกับอาณาจักรสยาม ที่มีบ้านพักสำหรับราชทูตสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเรียบเรียงเรื่องการรับทูตต่างประเทศสมัยกรุงศรีอยุธยา
สมัยรัชกาลที่ 4
การโรงแรมในประเทศไทยได้เริ่มขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 นี้เอง โดยเริ่มขึ้นหลังจากคณะทูตของหม่อมราโชทัยกลับจากเยือนยุโรป ดังจะเห็นได้จากหนังสือภาษาอังกฤษที่พิมพ์จำหน่ายในประเทศไทย ออกเป็นรายปี ชื่อ Bangkok Calendar ของหมอบรัดเลย์ นอกจากนี้รัชกาลที่ 4 ยังโปรดให้สร้างที่พักตากอากาศขึ้นที่ตำบลอ่างหิน จ.ชลบุรี พร้อมกันนั้นได้สร้างท่าจอดเรือสำหรับคนขึ้นบกไว้ด้วย บ้านพักตากอากาศแห่งนี้ต่อมาเป็นบ้านพักคุรุสภาและปรับปรุงให้เป็นพิพิธภัณฑ์ในปัจจุบัน
จากหลักฐานหนังสือบางกอกคาแลนดาร์ (Bangkok Calendar) ของหมอบรัดเลย์ (D.B. Bradley) ซึ่งพิมพ์จำหน่ายในประเทศไทยออกเป็นรายปี พบว่าในปี
พ.ศ. 2407 (ค.ศ.1864) มีประกาศแจ้งความ 3 โรงแรม คือ
1. Union Hotel
2. Oriental Hotel
3. Fisher’s Hotel
จากหลักฐานหนังสือบางกอกคาแลนดาร์ (Bangkok Calendar) ของหมอบรัดเลย์ (D.B. Bradley) ซึ่งพิมพ์จำหน่ายในประเทศไทยออกเป็นรายปี พบว่าในปี
พ.ศ. 2407 (ค.ศ.1864) มีประกาศแจ้งความ 3 โรงแรม คือ
1. Union Hotel
2. Oriental Hotel
3. Fisher’s Hotel
พ.ศ. 2408 (ค.ศ. 1865) 2 โรงแรม คือ
1. Union Hotel
2. Oriental Hotel
พ.ศ. 2409 (ค.ศ. 1866) แจ้งความเหลือเพียงโรงแรมเดียว คือ Union Hotel เพราะเกิดเพลิงไหม้
พ.ศ. 2410 (ค.ศ. 1867) มีลงแจ้งความไว้ 2 โรงแรม คือ Union Hotel และ Falck’s Hotel
พ.ศ. 2411 (ค.ศ. 1868) มีโรงแรมลงแจ้งความโรงแรมเดียว คือ Union Hotel
นอกจากโรงแรมในกรุงเทพฯแล้ว พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเห็นว่าที่ตำบลอ่างหิน แขวงเมืองชลบุรี เพราะที่อากาศดีการทำเป็นสถานที่ตากอากาศให้พวกฝรั่งไปพักผ่อนได้ ลักษณะของโรงแรมเป็นอาคาร 2 ชั้น จำนวน 2 อาคาร ต่อมาได้ชื่อว่า ตำหนักมหาราชาและตำหนักมหาราชินี มีเตียงนอนไว้บริการรวม 44 เตียง เพื่อให้บริการแก่ชาวต่างประเทศที่เดินทางพักผ่อนตากอากาศ
สมัยรัชกาลที่ 5
พระองค์ทรงปรับปรุงประเทศ ด้วยการนำความเจริญทางด้านเทคโนโลยีจากยุโรปเข้ามาในประเทศ มีชาวต่างประเทศเดินทางมาติดต่อค้าขายและติดต่อราชการงานเมืองมากขึ้น ความต้องการที่พักมีเพิ่มขึ้น จากหลักฐานในหนังสือ Bangkok Calendar ของหมอบรัดเลย์ ฉบับนี้ พ.ศ. 2413 (ค.ศ. 1870 มีลงแจ้งความ 6 โรงแรม)
1.Union Hotel
2. Falck’s Hotel
3. German Hotel
4. Hamburg Hotel
5. Marine Hotel
6. Siam Hotel
1.Union Hotel
2. Falck’s Hotel
3. German Hotel
4. Hamburg Hotel
5. Marine Hotel
6. Siam Hotel
บางโรงแรมนอกจากมีบริการห้องพักและอาหารแล้ว ยังมีบิลเลียดและโบว์ลิ่งบริการให้แก่ลูกค้าผู้มาพักด้วย พ.ศ. 2419 (Oriental Hotel ค.ศ. 1867) นักเดินทางเรือชาวเดนมาร์ค 2 คน คือ จาร์ค (H.Jarck) และ ซาล์จ (C. Salje) ได้สร้างโรงแรมโอเรียลเต็ลขึ้นที่แขวงสี่พระยา เดิมเป็นอาคารไม้ชั้นเดียว สร้างขนานไปกับริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา มีจำนวนห้องพักไม่มากนัก จัดเป็นโรงแรมที่ทันสมัยที่สุดในยุคในสมัยนั้น เป็นโรงแรมแห่งแรกในประเทศไทยที่มีไฟฟ้าใช้ โรงแรมแห่งนี้ได้ดำเนินกิจการมาจนถึงปัจจุบัน มีการเปลี่ยนเจ้าของและผู้ดำเนินกิจการหลายคน ปี พ.ศ. 2483 ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพญี่ปุ่นได้เข้ายึดเป็นกองบัญชาการของทหาร เมื่อสงครามเลิกในปี พ.ศ.2486 ก็ถูกใช้เป็นกองบัญชาการของกองทัพสหประชาชาติ นับว่าเป็นระยะที่โรงแรมทรุดโทรม ในปี พ.ศ. 2520 ได้สร้างอาคารใหญ่เพิ่มอีก 2 หลัง มีห้องพักจำนวน 406 ห้อง ประกอบด้วยห้องชุดที่หรูหรา จำนวน 21 ห้อง มีพร้อมทั้งห้องรับแขกและห้องอาหาร มีที่จอดรถกว้างขวางสามารถจอดรถได้ 350 คัน นอกจากนี้บริเวณโรงแรมจัดให้มีสระว่ายน้ำ สนามเทนนิสไว้บริการแก่ลูกค้า เป็นโรงแรมที่มีบุคคลสำคัญและนักธุรกิจต่างประเทศมาพักมากมาย
โรงแรมโอเรียลเต็ล จึงได้รับการยกย่องเป็นโรงแรมชั้นเยี่ยม อันดับ 1 ของโลกในปี พ.ศ. 2524
โรงแรมโอเรียลเต็ล (สมัยรัชกาลที่6–สมัยรัชกาลที่ 8)
- พ.ศ. 2454 ก่อนและระหว่างพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 Mr. C. Paberge ช่างทองและเครื่องเพชรแห่งราชสำนักพระเจ้าชาร์มาร่วมงาน Coronation แล้วยังนำเครื่องเพชร เครื่องประดับมาแสดงที่โรงแรมโอเรียลเต็ล
- พ.ศ. 2455 งานสถาปนาสมาคมฝรั่งเศสที่โอเรียลเต็ล
- พ.ศ. 2459 การแสดง Ballet ครั้งแรกในเมืองไทย โดยยอดระบำบัลเล่ต์ Nijinsky ที่ Concert Hall โรงแรมโอเรียบเต็ล
- พ.ศ. 2460 เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม สยามประกาศสงครามกับเยอรมันนีจำนวนนักท่องเที่ยวที่มาพักมิได้ลดลงเลย
- พ.ศ. 2467 Maria Maire ได้จัดตั้งบริษัท Oriental Hotel Co., Ltd. ขึ้น
- พ.ศ. 2474 มีนักท่องเที่ยวกลุ่มแรกที่มาโดยเครื่องบินลงที่ดอนเมือง นับเป็นลูกค้ารายแรกของโอเรียลเต็ลที่มาทางอากาศ
- พ.ศ. 2485 กองทัพญี่ปุ่นเข้ายึดครองโอเรียลเต็ล
- พ.ศ. 2488 เดือนสิงหาคม ทหารญี่ปุ่นถอนตัวไป ทหารดัชท์จักรภพอังกฤษและออสเตรเลียเข้ายึดครองโอเรียลเต็ล
- พ.ศ. 2489 หน่วยทหารอากาศสหรัฐ เข้ายึดครอง โรงแรมโอเรียลเต็ล (สมัยรัชกาลปัจจุบัน) เมื่อทหารสหรัฐกลับไปแล้ว Mrs. Germaine Krull และ Col. Jim Thompson (พันเอกจิม ทอมป์สัน ผู้ซึ่งต่อมา คือ “ราชาไหมไทย”)
- พ.ศ. 2501 เปิดอาคาร Tower Wing เมื่อ 1 เมษายน นี้ 10 ชั้น 48 ห้องพัก (ตึกเดิมมีประมาณ 40 ห้อง รวมเป็นห้องพักทั้งหมด 80 กว่าห้อง ) ชั้นบนสุดเป็นห้องอาหาร “Normandie Grill”
- พ.ศ. 2510 บริษัทสยามโฮเต็ล ซินดิเคท (Siam Hotel Syndicate Co., Ltd.) ในเครือบริษัทอิตัลไทยได้ซื้อกิจการ ต่อมาได้ร่วมทุนกับบริษัทฮ่องกงแลนด์ในฮ่องกงให้ Mandarin International Hotels บริหาร
- พ.ศ. 2520 สร้างอาคาร River Wing บนที่ดินของทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์และที่ดิน ซึ่งซื้อมาจาก Chartered Bank เป็นอาคาร 16 ชั้น อาคารจอดรถ 5 ชั้น จอดได้ 350 คัน ใช้งบประมาณ 300 ล้านบาท
ปัจจุบันโรงแรมโอเรียลเต็ล ประกอบด้วยอาคารใหญ่ 3 หลัง คือ
1. Author Wing
2. Tower Wing
3. River Wing
โรงแรมโอเรียลเต็ล มีห้องพักรวมทั้งสิ้น 406 ห้อง แบ่งเป็นห้องชุด (Suite) 22 ห้อง ห้องใหญ่ที่สุด คือ “Oriental Suite” ตกแต่งหรูหรามาตรฐานโลก ประกอบด้วยห้องนอนใหญ่ พร้อมเตียงคู่ ห้องนอนสำรองอีก 1 ห้อง ห้องรับแขก ห้องรับประทานอาหารขนาด 12 คน พร้อมทั้งบาร์ ห้องเตรียมอาหาร (pantry) อุปกรณ์เครื่องใช้ต่าง ๆ และมีห้องน้ำ 5 ห้อง นอกจากนี้ยังมี ห้องคอฟฟี่ชอฟ ห้องอาหารต่าง ๆ ห้องจัดเลี้ยง ศูนย์การค้าและอื่น ๆ โรงแรมยังมีเรือนำเที่ยว 2 ลำ คือ
1. Oriental Queen
2. Orchid Queen
พ.ศ. 2524 โรงแรมโอเรียลเต็ลได้คะแนนสูงสุดในการคัดเลือก โรงแรมที่ดีที่สุดในโลก (The Best Hotel in the world)
1. Author Wing
2. Tower Wing
3. River Wing
โรงแรมโอเรียลเต็ล มีห้องพักรวมทั้งสิ้น 406 ห้อง แบ่งเป็นห้องชุด (Suite) 22 ห้อง ห้องใหญ่ที่สุด คือ “Oriental Suite” ตกแต่งหรูหรามาตรฐานโลก ประกอบด้วยห้องนอนใหญ่ พร้อมเตียงคู่ ห้องนอนสำรองอีก 1 ห้อง ห้องรับแขก ห้องรับประทานอาหารขนาด 12 คน พร้อมทั้งบาร์ ห้องเตรียมอาหาร (pantry) อุปกรณ์เครื่องใช้ต่าง ๆ และมีห้องน้ำ 5 ห้อง นอกจากนี้ยังมี ห้องคอฟฟี่ชอฟ ห้องอาหารต่าง ๆ ห้องจัดเลี้ยง ศูนย์การค้าและอื่น ๆ โรงแรมยังมีเรือนำเที่ยว 2 ลำ คือ
1. Oriental Queen
2. Orchid Queen
พ.ศ. 2524 โรงแรมโอเรียลเต็ลได้คะแนนสูงสุดในการคัดเลือก โรงแรมที่ดีที่สุดในโลก (The Best Hotel in the world)
![]() |
โรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพ (Mandarin Oriental Bangkok ) |
สมัยรัชกาลที่ 6 (พ.ศ.2453-พ.ศ. 2468)
โรงแรมในสมัยนี้เกิดขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้เดินทางทั้งชาวไทย ชาวต่างประเทศ ทำให้มีโรงแรมเกิดขึ้นหลายแห่งทั้งภาคเอกชนและภาครัฐบาลที่สร้างขึ้นครั้งแรก ได้แก่ โรงแรมหัวหิน (พ.ศ. 2465)
สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอกรมขุนกำแพงเพชรอัครโยธิน เป็นผู้บัญชาการกรมรถไฟแผ่นดิน เมื่อ พ.ศ. 2460 ทรงขอแบ่งซื้อที่ดินจากกรมพระนเรศวรฤทธิ์ มาเป็นของกรมรถไฟ จัดสร้างบังกะโลเรือนไม้ริมทะเลขึ้นที่ชายหาดหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ให้บุคคลทั่วไปได้เช่าพัก
ต่อมาในปี พ.ศ. 2464 ทรงบัญชาให้กรมรถไฟสร้างโฮเต็ลตึกแบบยุโรปขึ้น 1 หลัง ย้ายบังกาโลเดิมไปปลูกที่ใหม่ สร้างเสร็จเมื่อ พ.ศ. 2465 เรียกว่า โรงแรมหัวหิน ซึ่งเป็นโรงแรมชายทะเลแห่งแรกของไทย ใช้งบประมาณทั้งสิ้น 128,634.94 บาท มีเตียง 28 เตียง ภายในบริเวณโรงแรมมีสนามกอล์ฟและสนามเทนนิส ไว้บริการแก่นักท่องเที่ยวที่มาพักอีกด้วย
โรงแรมรอยัล (พ.ศ. 2454)
เป็นโรงแรมที่เกิดขึ้นใหม่ บริเวณถนนสาธรเหนือ เป็นตึก 3 ชั้น บันไดหินอ่อนมีระเบียง Balconies ตกแต่งภายในด้วยไม้แกะสลัก มีสนามและสวนหย่อมรอบ ๆ ตัวตึกทุกห้องมีพัดลม กริ่งและแสงสว่างจากไฟฟ้า ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทาน ชื่อว่า “Royal hotel” ปัจจุบัน คือ สถานทูตรัสเซีย
โรงแรมรอยัล (พ.ศ. 2454)
เป็นโรงแรมที่เกิดขึ้นใหม่ บริเวณถนนสาธรเหนือ เป็นตึก 3 ชั้น บันไดหินอ่อนมีระเบียง Balconies ตกแต่งภายในด้วยไม้แกะสลัก มีสนามและสวนหย่อมรอบ ๆ ตัวตึกทุกห้องมีพัดลม กริ่งและแสงสว่างจากไฟฟ้า ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทาน ชื่อว่า “Royal hotel” ปัจจุบัน คือ สถานทูตรัสเซีย
![]() |
โรงแรมรอยัล (Royal Hotal) |
สมัยรัชกาลที่ 7 (พ.ศ. 2468- พ.ศ. 2477)
โฮเต็ลวังพญาไท (พ.ศ. 2469) หรือโรงแรมวังพญาไท
โฮเต็ลวังพญาไท เกิดขึ้นจากการที่กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน ทรงขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 สร้างโรงแรมที่หัวลำโพง เมื่อ พ.ศ. 2469 แต่ไม่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ และมีพระราชประสงค์จะให้เปลี่ยนแปลงแก้ไขวังพญาไทเป็นโรงแรม เพราะมีบริเวณกว้างขวาง และต้องสิ้นเปลืองเงินในการบำรุงรักษามาเป็นจำนวนมาก พร้อมกันนี้ได้เปลี่ยนชื่อจากวังพญาไท เป็นโรงแรมวังพญาไท เพื่อให้ชาวต่างประเทศพักแรมภายในบริเวณโรงแรมมีความงดงาม หรูหรา จากการตกแต่งด้วยศิลปะที่วิจิตรการตา เพราะเป็นพระราชวังมาก่อน โดยเฉพาะ “ห้องจักรี” ซึ่งเคยเป็นห้องบรรทม ราคาคืนละ 120 บาท โรงแรมวังพญาไท ได้รับการยกย่องว่า เป็นโรงแรมเดอลุกซ์แห่งแรกของเมืองไทย และเป็นโรงแรมที่ทันสมัย และยอดเยี่ยมที่สุดของเอเชียในสมัยนั้น ตัวโรงแรมประกอบด้วยห้องรับรองห้องอาหาร ไนต์คลับ บาร์ ห้องนั่งเล่น ห้องเขียนหนังสือ ที่จอดรถ ห้องเต้นรำ (Ballroom) ห้องพักมีประมาณ 60 ห้อง แบ่งเป็นห้องธรรมดาและห้อง Deluxe ไว้บริการแก่ลูกค้าของโรงแรม ส่วนบริเวณรอบ ๆ โรงแรมเป็นบึงดอกบัวนานาชนิด และสวนไม้ดอก ไม้ประดับ ที่จัดแบบสวนญี่ปุ่น มีน้ำตก น้ำพุ สวยงามมาก
ปัจจุบันโรงแรมวังพญาไท เป็นสถานที่ตั้งโรงพยาบาลพระมงกุฎ ตามคำสั่งคณะปฏิวัติในสมัยรัชกาลที่ 7
โฮเต็ลวังพญาไท เกิดขึ้นจากการที่กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน ทรงขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 สร้างโรงแรมที่หัวลำโพง เมื่อ พ.ศ. 2469 แต่ไม่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ และมีพระราชประสงค์จะให้เปลี่ยนแปลงแก้ไขวังพญาไทเป็นโรงแรม เพราะมีบริเวณกว้างขวาง และต้องสิ้นเปลืองเงินในการบำรุงรักษามาเป็นจำนวนมาก พร้อมกันนี้ได้เปลี่ยนชื่อจากวังพญาไท เป็นโรงแรมวังพญาไท เพื่อให้ชาวต่างประเทศพักแรมภายในบริเวณโรงแรมมีความงดงาม หรูหรา จากการตกแต่งด้วยศิลปะที่วิจิตรการตา เพราะเป็นพระราชวังมาก่อน โดยเฉพาะ “ห้องจักรี” ซึ่งเคยเป็นห้องบรรทม ราคาคืนละ 120 บาท โรงแรมวังพญาไท ได้รับการยกย่องว่า เป็นโรงแรมเดอลุกซ์แห่งแรกของเมืองไทย และเป็นโรงแรมที่ทันสมัย และยอดเยี่ยมที่สุดของเอเชียในสมัยนั้น ตัวโรงแรมประกอบด้วยห้องรับรองห้องอาหาร ไนต์คลับ บาร์ ห้องนั่งเล่น ห้องเขียนหนังสือ ที่จอดรถ ห้องเต้นรำ (Ballroom) ห้องพักมีประมาณ 60 ห้อง แบ่งเป็นห้องธรรมดาและห้อง Deluxe ไว้บริการแก่ลูกค้าของโรงแรม ส่วนบริเวณรอบ ๆ โรงแรมเป็นบึงดอกบัวนานาชนิด และสวนไม้ดอก ไม้ประดับ ที่จัดแบบสวนญี่ปุ่น มีน้ำตก น้ำพุ สวยงามมาก
ปัจจุบันโรงแรมวังพญาไท เป็นสถานที่ตั้งโรงพยาบาลพระมงกุฎ ตามคำสั่งคณะปฏิวัติในสมัยรัชกาลที่ 7
โรงแรมทรอคาเดโร (พ.ศ. 2470)
เดิมมีลักษณะเป็นบังกาโล เจ้าของที่ดิน คือ พระยาประภากรวงศ์ (ว่อง บุนนาค) เป็นโรงแรมของเอกชน สร้างปี พ.ศ. 2470 โดยกู้เงินจาก National Provincial Bank ประเทศอังกฤษ โดยมี คุณฉวี บุนนาค บุตรสาวซึ่งเป็นนักเรียนอังกฤษเป็นผู้จัดการคนแรกและควบคุมการก่อสร้างโรงแรม ที่บริเวณถนนสุรวงศ์มีจำนวน 2 อาคาร เป็นอาคาร 4 ชั้น 3 ชั้น แบ่งเป็นห้องพัก จำนวน 45 ห้อง ส่วนล่างประกอบด้วย ห้องอาหาร บาร์ ห้องครัว และห้องสำหรับต้อนรับลูกค้าและเป็นโรงแรมแห่งแรกในประเทศไทยมีเครื่องปรับอากาศ และลิฟต์ใช้ จัดเป็นโรงแรมที่มีความหรูหราและทันสมัยมากแห่งหนึ่ง ปัจจุบันคือ โรงแรมนิวทรอคาเดโร
โรงแรมราชธานี (พ.ศ. 2470)
รัชกาลที่ 6 โปรดเกล้าฯ ให้กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน สร้างโรงแรมปลายทาง (Rest House) ที่สถานีหัวลำโพง เพื่อเป็นที่พักของประชาชนที่เดินทางมาโดยรถไฟ มีห้องพัก 14 ห้อง มีห้องเต้นรำ ห้องอาหาร บาร์ ห้องครัว ต่อมาประสบอุปสรรค และปัญหามากมายต้องเลิกกิจการในปี พ.ศ. 2511 ปัจจุบันเป็นกองคลังพัสดุรถเสบียงการรถไฟแห่งประเทศไทย
สมัยรัชกาลที่ 8 (พ.ศ. 2477-พ.ศ. 2489)
สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ได้สร้างอาคารสองข้างถนนราชดำเนินกลาง คือ โรงแรมรัตนโกสินทร์และโรงแรมสุริยานนท์ เมื่อ พ.ศ. 2485 เพื่อรองรับแขกเมืองโดยให้บริการที่ดีเยี่ยม จนมีชื่อเสียงประกอบกับทำเลที่ตั้งในแหล่งชุมชน ต่อมามีโรงแรมเกิดขึ้นมากมายและมีการแข่งขันกันมากขึ้น ทำให้โรงแรมทั้งสองลดความสำคัญลงเพราะทำเลที่ตั้งแออัด จอแจ ความสะดวกในการเดินทางและหาที่จอดรถ
ต่อมาสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ให้เอกชนดำเนินการต่อโดยเปลี่ยนชื่อโรงแรมรัตนโกสินทร์เป็นโรงแรมรอยัล (Royal Hotel) และโรงแรมสุริยานนท์เป็นโรงแรมมาเจสติก (Majestic Hotel)
โรงแรมรัตนโกสินทร์และโรงแรมสุริยานนท์แล้ว ยังมีโรงแรมในเครืออีก คือ โรงแรมบางแสน ตั้งอยู่ที่บางแสน จังหวัดชลบุรี เป็นโรงแรมตากอากาศ ปัจจุบันอยู่ในความดูแลของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ต่อมาสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ให้เอกชนดำเนินการต่อโดยเปลี่ยนชื่อโรงแรมรัตนโกสินทร์เป็นโรงแรมรอยัล (Royal Hotel) และโรงแรมสุริยานนท์เป็นโรงแรมมาเจสติก (Majestic Hotel)
โรงแรมรัตนโกสินทร์และโรงแรมสุริยานนท์แล้ว ยังมีโรงแรมในเครืออีก คือ โรงแรมบางแสน ตั้งอยู่ที่บางแสน จังหวัดชลบุรี เป็นโรงแรมตากอากาศ ปัจจุบันอยู่ในความดูแลของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
สมัยรัชกาลที่ 9 (พ.ศ. 2489)
พ.ศ. 2522 ได้ประกาศใช้พระราชบัญญัติการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย การขยายตัวทางเศรษฐกิจส่วนรวม การลงทุนภาคเอกชนในกิจการโรงแรมได้เพิ่มมากขึ้น จะกล่าวเฉพาะโรงแรมที่สำคัญเป็นตัวอย่าง และต้นแบบโรงแรมเดอลุก์ ได้แก่
โรงแรมเอราวัณ (Erawan Hotel)
สมัยก่อนโรงแรมใหญ่ ๆ พอที่จะรับรองแขกบ้านแขกเมืองในกรุงเทพฯ ยังไม่มีนักท่องเที่ยวที่แวะมากรุงเทพฯ ก็เกิดปัญหาในการหาที่พัก บริษัทสายการบินต่าง ๆจึงประชุมหารือกันในการจะมาลงทุนตั้งโรงแรมขนาดใหญ่ขึ้นในกรุงเทพฯ โดยมี พลโทประยูร ภมรมนตรี เป็นผู้นำเอาโครงการสร้างโรงแรมขนาดใหญ่ หารือคณะรัฐมนตรีสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม และได้อนุมัติให้จัดตั้งเป็นรูปบริษัทจำกัด เรียกว่า “บริษัท สหโรงแรมกรุงเทพฯ จำกัด” เดิมมีโครงการก่อสร้างโรงแรมบริเวณสวนลุมพินี แต่ถูกยับยั้งเพราะเป็นสถานที่ที่รัชกาลที่ 6 ทรงประทานให้เป็นที่สาธารณะแก่ประชาชนได้พักผ่อน จึงเปลี่ยนโครงการมาซื้อที่ดินที่มุมสี่แยกราชประสงค์ บนพื้นที่ 9 ไร่ 3 งาน 98 ตารางวา เริ่มดำเนินการก่อสร้างในปี พ.ศ. 2494 ระหว่างการก่อสร้างมีอุปสรรคมากมาย และได้สร้างเสร็จปี พ.ศ. 2498 การก่อสร้างยังไม่เสร็จจึงได้สร้างเทวสถานท่านท้าวมหาพรหมขึ้น ในบริเวณโรงแรม ในที่สุดการก่อสร้างโรงแรมก็สร้างเสร็จในปี พ.ศ. 2499 ในระหว่างเริ่มเปิดดำเนินกิจการ ประสบปัญหามากมาย ด้านพนักงานบริการไม่มีความรู้ ความชำนาญ ปัจจุบันนี้อยู่ในเครือข่ายของ Hyatt ประเทศสหรัฐอเมริกา
โรงแรมเอราวัณ (Erawan Hotel)
สมัยก่อนโรงแรมใหญ่ ๆ พอที่จะรับรองแขกบ้านแขกเมืองในกรุงเทพฯ ยังไม่มีนักท่องเที่ยวที่แวะมากรุงเทพฯ ก็เกิดปัญหาในการหาที่พัก บริษัทสายการบินต่าง ๆจึงประชุมหารือกันในการจะมาลงทุนตั้งโรงแรมขนาดใหญ่ขึ้นในกรุงเทพฯ โดยมี พลโทประยูร ภมรมนตรี เป็นผู้นำเอาโครงการสร้างโรงแรมขนาดใหญ่ หารือคณะรัฐมนตรีสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม และได้อนุมัติให้จัดตั้งเป็นรูปบริษัทจำกัด เรียกว่า “บริษัท สหโรงแรมกรุงเทพฯ จำกัด” เดิมมีโครงการก่อสร้างโรงแรมบริเวณสวนลุมพินี แต่ถูกยับยั้งเพราะเป็นสถานที่ที่รัชกาลที่ 6 ทรงประทานให้เป็นที่สาธารณะแก่ประชาชนได้พักผ่อน จึงเปลี่ยนโครงการมาซื้อที่ดินที่มุมสี่แยกราชประสงค์ บนพื้นที่ 9 ไร่ 3 งาน 98 ตารางวา เริ่มดำเนินการก่อสร้างในปี พ.ศ. 2494 ระหว่างการก่อสร้างมีอุปสรรคมากมาย และได้สร้างเสร็จปี พ.ศ. 2498 การก่อสร้างยังไม่เสร็จจึงได้สร้างเทวสถานท่านท้าวมหาพรหมขึ้น ในบริเวณโรงแรม ในที่สุดการก่อสร้างโรงแรมก็สร้างเสร็จในปี พ.ศ. 2499 ในระหว่างเริ่มเปิดดำเนินกิจการ ประสบปัญหามากมาย ด้านพนักงานบริการไม่มีความรู้ ความชำนาญ ปัจจุบันนี้อยู่ในเครือข่ายของ Hyatt ประเทศสหรัฐอเมริกา
โรงแรมรามา (Rama Hotel)
ทำพิธีเปิด เมื่อวันที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2504 โดยสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีเป็นอาคารสูง 10 ชั้น มีห้องพักทั้งสิ้น 172 ห้อง บนเนื้อที่ 4 ไร่ มุมถนนสีลมตัดกับถนนสุรศุกดิ์ เจ้าของคือ คุณสุนีรัตน์ เตลาน ได้นำสิ่งใหม่ ๆ มาสู่วงการโรงแรมในกรุงเทพฯ เช่น
- ประตูบานเลื่อนไฟฟ้าอัตโนมัติที่ทางเข้า
- สระว่ายน้ำ สร้างไว้บนระเบียง ชั้น 2 มีสวนหย่อมล้อมรอบ
- ห้องจัดเลี้ยง Penthouse บนชั้น 10 สามารถเห็นวิวทิวทัศน์ของกรุงเทพฯ โดยรอบ
- เป็นโรงแรมแห่งแรกของเมืองไทยที่เข้าเครือข่าย Chain Hotels บริหารโดยบรรษัทกลุ่มธุรกิจโรงแรมนานาชาติ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น